วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2552

สัมมนาภาษาศาสตร์ที่เชียงราย



วันที่ 12 ตื่นแต่เช้ารีบขึ้นเครื่องแอร์เอเชียที่สุวรรณภูมิไปเชียงราย เพิ่งรู้ว่าแอร์เอเชียเปลี่ยนระบบใหม่เป็นการจัดที่นั่งให้ ถ้าไม่ได้จ่ายตังเลือกที่นั่งไว้ก่อนก็จะมีการสุ่มเลือกให้ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าระบบคอมพิวเตอร์สุ่มยังไง ขนาดจองให้เพื่อนหลังจากของเราเองสองถึงสามวันพอตอนเช็คอิน ก็เช็คอินพร้อมกัน กลับได้ที่นั่งแถวต้นๆ ซะนี่ เพื่อนอีกคนจองก่อนเดินทางสัปดาห์ที่แล้ว ได้ที่แถวต้นๆ เลยเชียว ไม่รู้เป็นเทคนิคอะไรของแอร์เอเชียนะนี่ พวกเราไปถึงเชียงรายตอนบ่ายโมง อาจารย์ปอน่ารักมากเป็นคนมารับพร้อมรถมหาวิทยาลัย เกรงว่าพวกเราจะหิวจนไส้กิ่ว เลยพาไปทานข้าวซอยไก่มื้อแรกที่ อ.นาแล ถนนเส้นเดียวกับที่ไปถึงแม่ฟ้าหลวงน่ะแหละ พวกเราหิวจัดสั่งก๋วยเตี๋ยวหมู ก๋วยเตี่ยวเนื้อเพิ่มกันอีกคนละชาม อร่อยทุกอย่างเลยร้านนี้

หลังจากที่เช็คอินที่เรือนรับรอง 2 ของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงแล้ว พบว่าห้องพักใหญ่โตมีทั้งห้องนั่งเล่น ห้องนอน สองเตียงมีห้อง pantry มีตู้เย็นพร้อมน้ำสองขวด นอนกันสองคนกับคุณแม่ลูกอ่อนที่หนีลูกมาร่วมประชุม ด้วยความที่เป็นพวกมักน้อยเห็นแก่กินเยอะ เลยรีบถามอ.ปอว่ามีร้านสะดวกซื้อมั้ยนี่ พอรู้ว่ามี
เซเว่นอีเลฟเว่น ก็ตกลงกันไปทัวร์แคมปัส หาร้านเซเว่นอีเลเว่นกัน ที่นี่มีรถไฟฟ้าเรียกว่า EVT จอดรับผู้โดยสารตามป้าย แต่ลงได้ตามรายทางที่ผ่านตามอัธยาศัย พวกเราพลัดถิ่นมาเป็นกะเหรี่ยงกรุงเทพเข้าเชียงราย เจอรถก็กระโดดขึ้น ถึงที่หมายก็ลง พอขึ้นรถขากลับเลยถามคนขับว่าที่นี่ขึ้นลงรถตรงไหน เลยโดนคนขับให้คำแนะนำแบบประชดเล็กๆ มาว่า ถ้าเป็นนิสิตจะต้องขึ้นที่ป้าย แต่ลงที่ใดก็ได้ พวกเราคนนึงเลยต้องแก้ตัวว่า แหะ เผอิญเราไม่ใช่นิสิตแต่เป็นอาจารย์ต่างถิ่นมาดูงานก้า แล้วรีบเผ่นลงทันที นี่เลยพอเจอเซเว่นนะ พวกเราก็กระโดดเข้าใส่ ตระครุบตะกร้าได้ก็คว้าขนม น้ำดื่ม น้ำหวาน นมกล่อง มากักตุนใส่ตะกร้ากันจ้าละหวั่น หอบกันพะรุงพะรังราวกับมาอยู่ซะอาทิตย์นึงนะนี่ จริงๆ อยู่แค่สองคืนสามวันหรอกนะ แต่กลัวอดนี่เรื่องใหญ่

พอเอาของที่ซื้อกันมาเก็บในห้อง ก็ออกไปเที่ยวใหม่รอบสอง คราวนี้พวกเราตกลงทัวร์แคมปัสจริงๆ ซะหน่อย เลยผ่านไปดูหอพักนิสิต ที่พักแขกมหาวิทยาลัยอย่างวนาเวศ เห็นว่ามีวนาศรม มีนวดแผนโบราณด้วยนะ แหมถ้ามีเวลาซะหน่อยคงได้ทดลองใช้บริการ พวกเราตกลงกันไปแวะชมสถาบันสิรินธร ข้างในสวยมากเลยค่ะ

ได้เวลานัดห้าโมงครึ่ง หัวหน้าโครงการนัดคุยงานวิจัย เสร็จแล้วไปชมวิหารพระเจ้าล้านทอง สวยงามมากจริงๆ ดีว่ามีรถตู้มหาวิทยาลัยพาไปถึงที่เลย ตอนบ่ายได้ถามคนขับรถไฟฟ้า เขาบอกว่ารถไฟฟ้าจอดให้แค่สุดทางให้เดินขึ้นเขาไปเองอีกกิโลนึง แล้วจะปีนเขากันถึงค่ำเลยมั้ยนี่ หลังจากนั้นก็ไปทานอาหารเย็นชื่อร้าน ปล๋า เมนูทำจากปลาทั้งหมด อร่อยสุดยอด ที่ชอบกันมากคือ ปลาทอดทำเป็นเส้นนั่นเอง หลังจากนั้นก็ไปเดินไนท์บาร์ซ่ากัน แบ่งรถเป็นสองคัน คันนึ่งส่งผู้ที่ห่วงเตรียมงานวันรุ่งขึ้น และแม่ลูกอ่อนที่ต้องคอยปั๊มนมทุกสี่ชั่วโมงกลับไปทำฟาร์มตามช่วงเวลาที่ที่พัก ได้กางเกงมีป้าย เชียงราย ถูกอกถูกใจ ติดไม้ติดมือกลับมาตัวนึ่ง แล้วก็เตรียมการเสนอสักเล็กน้อยก่อนเข้านอน

เช้าวันเสาร์ทุกคนที่เป็นผู้เสนอผลงานวันนี้ ตื่นกันแต่เช้า เตรียมตัวกันพร้อม รีบไปถึงห้องประชุมแต่เช้า ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงมีอาจารย์เจ้าหน้าที่มาต้อนรับ เตรียมการลงทะเบียนพร้อมแล้ว หลังจากนั้นอธิการบดี คณบดีคณะศิลปศาสตร์ ศ. ดร.วิชัย ผอฝ่ายวิชาการ สกว. มาถึง การประชุมวิชาการระดับชาติดำเนินไปด้วยดี หัวหน้าโครงการพูดเรื่องคำซ้ำเป็นคนแรก เราได้รับเกียรติให้พูดคนต่อมา ทุกอย่างราบรื่นสมอารมณ์หมาย ช่วงบ่ายต้องช่วยนั่งเป็นประธานช่วงนึง ปล่อยให้อาจารย์น้องๆ ที่จะต้องนำเสนอมือเย็นกันต่อไป

ตอนเย็นหลังการประชุม พวกที่เสนอผลงานเรียบร้อยแล้วก็โล่งอก นัดกันไปเดินถนนคนเดินกันหลังทานข้าว ที่ร้านโตก ปล่อยให้พวกที่ต้องนำเสนอวันรุ่งขึ้นมุ่งมั่นกับการเตรียมงานไป พอไปถึงก็ตื่นตาตื่นใจ โอโห ถนนคนเดินนี่ มีของเยอะแยะมาก ที่สำคัญได้เสื้อ-ผ้านุ่งเชียงฮายอีกด้วย ดีใจหลายๆ ไม่แพงด้วยถูกใจจริงๆ แต่เดินไปได้แป๊บเดียว มัวแต่ลองเสื้อดูผ้า ถึงเวลานัดซะแล้ว ต้องเป็นซินเดอร์เรลล่ารีบกลับไปที่นัดหมายก่อนตกรถ

ตื่นเช้ามาทุกคนทักว่าทำไมไม่ใส่ชุดใหม่ซะเลย มันเขิน พี่ติ๊กรีบอาสาไปนุ่งผ้านุ่งให้ จะได้ใส่ชุดเบอร์เดียวกันคือ เบอร์ห้า ก็ซื้อร้านเดียวกันนี่ ว่าแล้วก็เลยได้แต่ชุดสาวเหนือไปการประชุมแบบงามๆ หนึ่งวัน พอการประชุมเลิกตอนบ่ายสาม รีบกลับมาที่พักเก็บของออกไปเที่ยวต่อ ก็ต้องไปขึ้นเครื่องบินตอนสองทุ่มแน่ะ มีเวลาเยอะ เอ จะไปเที่ยวไหนกันดี จะขึ้นดอยตุงก็เกรงเวลาจะหมดเพราะขึ้นดอย เราอยากไปกราบพระ หลายคนอยากไปช็อปปิ้ง ก็เลยตกลงกันว่าแวะกราบพระสักวัดละกัน แล้วค่อยไปช็อปปิ้งที่แม่สาย เค้าว่ากันว่าถ้า ไม่ได้ไปเดินที่แม่สายนี่ก็ไม่ถึงเชียงรายนะนี่ งั้นก็ต้องไปกันหน่อยล่ะ ทีแรกแม่ลูกอ่อนบอกว่าไม่อยากไปเกรงว่าจะทำฟาร์มไม่สะดวก แต่เท่าที่เห็นเมื่อคืนต้องนั่งดูทีวีกันสี่ห้าคนก็ไม่มีใครรู้ว่าเธอดำเนินการไปตอนไหน ก็นั่งดูทีวีอยู่ด้วยกัน เลยให้เธอนั่งแถวหลังๆ ก็ตกลงตามนั้น

ลุงคนขับน่ารักมาก พอบอกอยากแวะกราบพระที่วัด วัดไหนก็ได้ เธอก็ไม่ยอมแวะที่ไหน พาไปที่ อ.แม่จัน วัดกาสา เป็นวัดเก่าแก่ บอกว่าวัดนี้มหาวิทยาลัยมาจัดทอดผ้าป่า ทอดกฐินกัน ได้กราบหลวงพ่อใจดี ผูกสายสิญจน์ให้ทุกคน แปลกมากนะท่านให้ศีลให้พรแล้วใช้พลังดึงสายสิญจน์ให้ขาดแล้วผูกข้อมูลให้

ไปถึงแม่สายตอนสี่โมงครึ่ง เถียงกันว่าจะเดินไปฝั่งพม่าดีมั้ย พี่คนขับก็บอกว่าของเหมือนๆ กัน เลยไม่ไปดีกว่า ด่านปิดห้าโมง เลยต้องส่งคนไปตามเพื่อนชาวญี่ปุ่นที่ตามมาด้วยคนนึง คนต่างชาติต้องไปทำวีซ่า เจ้าหน้าที่ก็ไล่กลับ บอกไม่แนะนำให้ไป เพราะด่านปิดห้าโมงเย็น ไม่คุ้มค่าธรรมเนียมห้าร้อยบาทแน่ะ ที่แม่สายนี่ได้ของฝากลูกน้อยของแม่ลูกอ่อน ได้ผ้าปูโต๊ะพลาสติฉลุลายสีคลาสสิกที่หามานาน และที่หนักที่สุดก็คือ ได้เกาลัดมาคนละสองสามโล จะมีมือถือของกลับมั้ยนี่ ช็อปกันจุใจก็นึกถึงมื้อเย็น ลุงคนขับแนะนำก๋วยเตี๋ยวปลา ระหว่างทางไปสนามบิน ชื่อร้านก๋วยเตี๋ยวปลา อยู่บนถนนใหญ่ระหว่างทางไปสนามบินเลย อร่อยมาก มีเวลาเยอะ เลยทานกันคนละสองชามซะเลย ยูทากะเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองต้องกลับเข้าเมือง แต่มันเลยทางเข้าเมืองมาแล้วนี่ ทีแรกลุงแกบอกว่าเดี๋ยวจะแวะส่งให้ขึ้นรถสองแถวเล็ก ให้โบกเข้าเมืองเอง แต่หลังจากคิดไปคิดมา ลุงใจดีก็เปลี่ยนใจ บอกว่าจะไปส่งให้เอง หลังจากส่งพวกเราที่สนามบิน ด้วยเกรงว่าหนุ่มญี่ปุ่นจะไม่กล้าโบกรถ ต้องแกร่วอยู่ที่เดิมทั้งคืน ส่วนพวกเราน่ะห่วงแต่หนุ่มญี่ปุ่นเรียบร้อยคนนี้จะโดนสาวที่ไหนโฉบไปซะละมากกว่า อิอิ

ทีนี้ยังพอมีเวลาอยู่นี่นา แหมอยากได้ของฝากพวกไส้อั่วกลับบ้าน ไส้อั่วเชียงราย ไม่เหมือนเชียงใหม่นะ มีเครื่องเทศมากกว่ารสชาติต่างไป อร่อยด้วย ลุงคนขับเลยบอกนี่เลย แวะร้านนันทนา ชื่อเหนือว่า ก่องคำ ดักอยู่มุมก่อนเลี้ยวเข้าสนามบินจริงๆ มีของฝากเยอะทีเดียว แต่ไม่ได้ไส้อั่วอย่างที่คิดไว้แต่แรกเพราะเป็นแบบแช่แข็ง แต่มาถูกใจเสื้อของฝากเชียงรายลายสือล้านนาเนี่ยแหละ แล้วก็คว้าเสื้อยืด ไปเชียงรายมา กลับไปฝากหวานใจตัวนึง

พอถึงสนามบินพวกเราก็ได้ประสบการณ์สนุกสนานไปกับคุณแม่จอมวุ่น ที่ต้องแพ็คนมแม่ใส่น้ำแข็งอย่างดี กะโหลดใต้ท้องเครื่องบิน เจ้าหน้าที่เช็คอินรีบบอกว่าเอากล่องโฟมใส่น้ำแข็งใส่ใต้ท้องเครื่องบินไม่ได้ ถามว่าแพ็กอะไรมา พอบอกว่า นมแม่ค่ะ ทุกคนทำหน้าเหรอหรา ต้องชี้ให้ดูว่านี่ไง นมแม่คนนนี้ ล่ะ เค้าเลยบอกว่าต้องถือขึ้น ถ้าเจ้าหน้าที่การที่ไม่ให้เอาขึ้นเครื่องค่อยกลับมาใหม่ หัวหน้าโครงการเลยบอกให้เขียน นมแม่ ที่กล่องโฟมซะเลย พอไปถึง gate เป็นที่ฮือฮามาก เจ้าหน้าที่ผู้หญิงมาดูกันใหญ่ นมแม่ จริงเหรอ ได้เยอะขนาดนี้เลยเหรอ ครึ่งกล่องโฟมใหญ่เลยนะเนี่ย แล้วก็บอกให้ถือขึ้นเครื่องไป เลยคุยกันไว้ว่าให้แม่ลูกอ่อนคนนี้ไปเปิดฟาร์มนมแม่ซะเลยจะได้สงเคราะห์แม่คนไหนที่ไม่ค่อยจะมีนมให้ลูก ท่าจะดี

แอร์เอเชียนี่ก็แปลก ถ้าไม่เลือกที่นั่งเองระบบจะเลือกให้แบบสุ่ม แต่ดูแล้วก็ไม่เข้าใจซะทีว่าสุ่มแบบไหน มั่วละไม่ว่า เช็คอินพร้อมกันยังแยกที่นั่งอีก ไม่เข้าใจเลยทำอะไรกันไม่รู้ เอ้า หลับไปงีบนึง อึดใจเดียวก็ถึงกรุงเทพฯ แล้ว วันนี้คุณหวานใจกะเวลาผิด มาถึงเร็วเลยแวะมาคอยรับอยู่ก่อนแล้ว เลยไม่ต้องคอยคุณเธอ กว่าจะถึงบ้าน จัดข้าวจัดของ เข้านอนก็ตีสอง หลับสนิทเลยค่ะ มาประชุมเที่ยวนี้สนุกจริงๆ

วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2552

In Memory of Stanley Starosta, My greatest Guru

Stanley Starosta was a man with great humor. He was one of the best and greatest guru I've ever had. I myself will remember Stan as a great supervisor. He drove his students to working very hard (you know, like reading a lot and solving a lot of complicated syntactic problems). Stan was an excellent teacher who always devoted time for his students. No matter how busy he was, he always found time to spare to discuss any linguistic matters or reading papers and provided constructive comments. He respected and valued our opinions as friends, not just as students.

Early in 2002, I was honored to have Stan stay at my house during his visit in Bangkok. We have chatted a lot and of course we also discuss some Thai linguistic issues. I never knew that would be the last time I met him.

I feel very lucky to be his students.
Stan is my greatest guru.

Stanley Starosta, Professor in the Department of Linguistics at the University of Hawaii, passed away on July 18, 2002,

Coke in My Memory




It’s been over a year since you are gone. I still remember the first day you arrived. You were simply 4 months old – running around my house nervously. But then you learned to be part of our family quickly – running around in and out of the house as your own. The first night you heard lightening and thunder, you cried out so loudly that I had to get out of bed to sit by your cage to calm you down. After that I let you sleep in the house every rainy day. What a spoiled dog, people said. Well, if one never feels so scared in one’s life, one would never understand how Coke would have felt. Every time there was a thunder and lightening, you would cry and knock on my bedroom door. Later on, you must have decided that you had been one of the members of the family to live in the house and never returned to sleep in your cage. Again, in stormy nights, I had to take my pillow down and sleep in the living room to calm you down.

As you grew up, you became clever as well as mischievous. You know who you could cheat and play tricks on. Coke loved staying the house, especially when the air conditioner was on. As soon as the air conditioner was turned off after dinner, you knew it was time to stretch out. Coke would just walk straight to the front door and poked the head out to feel the temperature outside. Most of the time you would step back to the living room and enjoyed a cooler temperature.
You were such a handsome Alsatian. Too bad you could not have any little ones. You loved chasing birds and rats. I had to keep telling you not to harm them. You were our house guardian. No one could take anything from the house without our company. At one time, while my dad's friend was taking our printer out of the house to have it fixed at his home, you ran from the house and nip him. You had a good sense for strangers. Everytime we had house guests, Coke would welcome them with fierce barking. As soon as guests were invited to sit comfortably into the house and you were let in, you became such a tame cat! On the other hand, while you were in the house, no new strangers could ever enter the house. Many times after satisfactorily sniffing on house guests, you would walk away. But if you didn't feel like the person, you would just bit that person and walked away! Ha ha. Luckily, this happened only once or twice.

I still remember you vividly just like it was just a few days ago. You lived a good long life with us for 12 years. If you were humans, you would be over 84 years old. Your only health problem was that hind legs did not have much strength -- common problem for huge dogs. The day I walked in and found out you wer gone for good, I couldn't help crying and crying. I know you would be well in heaven. I have wished you all the best. You were my favorite one and will remain in my memory.

Rest in peace.

Love